เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ธ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้ เห็นไหม ว่าวันเฉลิมฯ เราทำ วันเฉลิม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ชาติ ชาติการเกิดขึ้นมาคือการรวมของมนุษย์ ชาติ ชาติคืออะไร? เวลาสมเด็จพระเทพฯ ท่านเอาทหารออกไปนะ ออกไปศึกษาประวัติศาสตร์ ท่านบอกว่า “ชาติคืออะไร” เวลานักเรียนนายร้อยออกไปนะ รักชาติไทย รักชาติไทย ชาติไทยมันคืออะไรล่ะ ส่วนผสมของชาติมันประกอบกันด้วยอะไรถึงเป็นชาติ แผ่นดินก็คือแผ่นดินนี่แหละ มันกี่ล้านปี กี่พันๆ ล้านปี เป็นพันๆ ล้านปี เพราะโลกนี้เป็นอจินไตยมาตลอด แล้วประเทศชาติมันเปลี่ยนไป อำนาจรัฐต่างๆ ก็เปลี่ยนไป นี่คือชาติ

แล้วคนเกิดขึ้นมานะ ชาติ คนเกิดขึ้นมาแล้วคนมีอำนาจวาสนา ในสมัยพุทธกาลนะเวลาจักรพรรดิ ผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิ ต้องสร้างบุญญาธิการมา เวลาจักรมันหมุน จักรพรรดิ จักรมันหมุนขึ้นไป นี่จักรพรรดิต้องออกบวชนะ ถ้าไม่ออกบวช สมบัติของจักรพรรดิ นางแก้ว ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว สิ่งนี้มันจะเสื่อมสภาพไป แล้วสมัยพุทธกาลในพระไตรปิฎก กษัตริย์เขาอยากพิสูจน์ว่าขุนคลังแก้วนี่มันเป็นอย่างไร เอาขุนคลังออกไปกลางแม่น้ำ นั่งเรือกันไป ๒ คน แล้วไปถึงกลางแม่น้ำบอกว่า “ต้องการเงิน ต้องการเงิน” ขุนคลังก็ต้องเอามือจุ่มไปในน้ำนะ เงินก็ติดขึ้นมาในน้ำ นี่คืออำนาจ

ถ้าเราเกิดมาเป็นชาติ เราเกิดมาชาติผู้ที่เป็นผู้ปกครอง ใต้ร่มโพธิสมภารขององค์พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์อยู่ในทศพิธราชธรรม เห็นไหม ฝนตกต้องตามฤดูกาล สิ่งที่ฝนตกต้องตามฤดูกาลเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่คุณงามความดี สิ่งที่คุณงามความดี เราทำคุณงามความดี คนมีสิ่งที่เป็นคุณงามความดีมองหน้ากัน เห็นหน้ากัน มันมีความอบอุ่นไง คนถ้ามีการอาฆาตมาดร้ายต่อกัน สิ่งนี้มันให้แต่ความทุกข์ นี้คือสิ่งที่เป็นมหากษัตริย์ บุคคลเป็นพระมหากษัตริย์ปกครอง เราเกิดมา ถ้าเกิดในสังคมร่มเย็น แล้วชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วตัวศาสนาล่ะ ถ้าไม่มีตัวสมานตัวนี้ไง

เวลาการก่อสร้าง สิ่งที่เขาจะก่อสร้าง การผสมวัสดุก่อสร้างต่างๆ เขาต้องมีน้ำเป็นส่วนผสม ถ้ามีตัวศาสนา เพราะตัวศาสนาเป็นตัวศีลตัวธรรม ตัวศีลตัวธรรม แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ถ้ามีแผ่นดินทอง คนมันแย่งกัน สมัยคนตื่นทองเขาฆ่ากันมหาศาลเลย เขาฆ่ากันเพราะเขาแย่งทองกัน เพราะเขาไม่มีธรรม แต่ถ้ามีธรรมก่อน เวลาโลกนี้ว่าวัตถุต้องเจริญ โลกประเทศชาติต้องเจริญ สิ่งที่ต้องเจริญ วัตถุเจริญ เราว่าความเจริญนี้มันเป็นการอำนวยความสะดวก ต่อไปอาหาร เมื่อก่อนการหุงอาการเราต้องหุงอาหารด้วยหม้อดินก่อน ด้วยเตาถ่านก่อน แล้วก็มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต่อไปอาหารจะเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป เห็นไหม นี่อาหารกึ่งสำเร็จรูปเวลาเขาวิเคราะห์วิจัยกัน นี่อาหารอัจฉริยะ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้อำนวยความสะดวกมากเลย แล้วคนก็มีเวลา

พอคนมีเวลา เวลานี่ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราอยู่ในสังคมเราจะมีความอบอุ่นนะ เวลาเราออกไปวิเวกสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปแบบนอแรด เวลาบุคคลคนเดียวออกไปวิเวกอยู่ในป่าในเขานะ มันจะมีความคิดความวิตกกังวล มันจะเกิดขึ้นมหาศาลเลย เวลาเราอยู่ในหมู่ชน ไอ้ความคิดอย่างนี้มันจะไม่มี แต่เวลาไปอยู่วิเวกของเราคนเดียว เหมือนเด็กเลย เด็กเวลาเข้าไปในที่มืดนี่มันกลัวผี มันกลัวสิ่งต่างๆ เพราะอะไร เพราะมันวิตกวิจารณ์เกิดขึ้นมา แต่ผู้ใหญ่ เราเข้าไปที่ไหนถ้าเรามีปัญญาของเรา สิ่งนี้เกิดจากความกลัวของเรา เราจะยับยั้งชั่งใจของเราได้ เราจะควบคุมตัวเราเองได้ แต่เด็กมันจะควบคุมตัวเองไม่ได้นะ

นี่เหมือนกัน เวลาพระออกไปวิเวก ออกเข้าไปในป่าในเขา เพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นเป็นความสงัด ความสงัดเกิดขึ้นมา เห็นไหม เราอยู่ในความวิเวก แล้วความคิดล่ะ นี่ความคิดเกิดขึ้นมา สิ่งนี้ควบคุมสิ่งนี้ไง ศีลธรรมจริยธรรมความเจริญของใจ ถ้าใจมีสิ่งนี้เจริญขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติเหมือนกันเลย การทำบุญกุศล เริ่มตั้งแต่การให้ทาน เริ่มตั้งแต่การก่อสร้าง สิ่งที่การก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่องนะ วิหาร ศาลา โบสถ์มันไปสวรรค์ไม่ได้นะ เราอาศัยมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยอยู่เย็นเป็นสุขนะ แต่ถ้าเรามีการติดมัน เราต้องทุกข์ร้อนไปกับมัน เวลาโบสถ์วิหารนี่เราสร้างไว้ วิหารโบสถ์ไม่ได้ไปสวรรค์หรอก คนสร้างมันต่างหากไปสวรรค์

เวลาเราสละทานเหมือนกัน เราสละทานออกไป เราสละสิ่งที่เป็นวัตถุออกไป สิ่งที่หัวใจที่มันได้รับนั้นต่างหากล่ะ สิ่งนี้เป็นบุญกุศลมันซับลงมาที่ใจ ถ้ามันซับลงที่ใจ สิ่งนี้ถ้าเรามีการสละออก มันฝึกฝนใจไง เพราะการสละออก วัตถุมันเคลื่อนที่ไปไม่ได้หรอก ถ้าคนเราไม่จัดการ

เดี๋ยวนี้มีการส่งกัน การส่งไปนี่ สิ่งที่เราส่งไปเพื่ออะไรล่ะ? เพื่อให้มันถึงที่เป้าหมายใช่ไหม แต่ในเมื่อหัวใจมันเป็นสิ่งที่นามธรรม มันจะสร้างรูปขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ มันจะต้องมีศรัทธา มีความเชื่อ แล้วมีศรัทธามีความเชื่อ ความเชื่อในอะไรล่ะ ถ้าความเชื่อ ตอนนี้เขาเชื่อกันนะ ลัทธิต่างๆ เขาก็เชื่อของเขาไป สิ่งที่เขาเชื่อมีปัญญาไหม มันต้องพิสูจน์กัน ถึงถ้าจะพิสูจน์กัน เวลาคนเข้าป่ามันมีเวลา เหมือนกันเลย เวลาปัจจุบันนี้โลกเจริญ สิ่งก่อสร้างเจริญ ทุกอย่างเจริญ เวลาเจริญเวลามันเหลือ เวลามันมี คนเรามีเวล่ำเวลามาก เวลาเด็กเขาต้องให้เล่นกีฬา เพราะถ้าเด็กไม่เล่นกีฬามันจะออกไปหาสิ่งเสพติดของมัน ให้เล่นกีฬา ให้ใช้สิ่งนี้เป็นกีฬา

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรามันจะอำนวยความสะดวกเข้ามาตลอด สะดวกเข้ามา เราหวังกันตรงนั้น เพราะเราไปมองกันตรงนั้น แต่เราไม่มองกันที่หัวใจเลยว่าหัวใจมันมีเวลาของมันขนาดไหน คนเราเกิดมามีอายุ ๑๐๐ ปีอย่างมากนะ ไม่ถึง ๑๐๐ ปี หรือ ๑๐๐ กว่าปีเล็กน้อย เราต้องตายไปนะ นี่ก็คือเวลาของเรา ถ้าเวลาของเรา เรามีสติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า “เธอระลึกลมหายใจเข้าออกวันละกี่หน เธอระลึกถึงความตายวันละกี่หน”

“ร้อยหน วันละพันหน วันละร้อยหน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ต้องระลึกทุกลมหายใจเข้าออก”

ระลึกทุกลมหายใจเข้าออก คนมีสติ คนมีความคิด แม้แต่วินาทีหนึ่งดีกว่าคนเพลิดเพลินในชีวิตเป็นทั้งชีวิตเลย เพราะถ้าเราหายใจเข้าและไม่หายใจออก หรือหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า นั้นคือเราหมดโอกาสไง

การเกิดเป็นมนุษย์นี้สำคัญมาก ดูสิ เวลาเกิดขึ้นมา ว่าเกิดมาพบในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราเกิดมาในสังคมที่ร่มเย็น เรามองประเทศไทย แล้วเรามองประเทศต่างๆ ที่เขามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เขาทำลายของเขาเพราะอะไร เพราะมันเป็นความฝังใจของเขามา ถ้าเราเกิดในประเทศอันไม่สมควร เราไปเกิดในประเทศอย่างนั้น เราเกิดในสถานะอย่างนั้น สังคมอย่างนั้น ต้องให้เรามีความเห็นเป็นอย่างนั้นใช่ไหม

แต่ในเมื่อเราเกิดมาในประเทศอันสมควร ศาสนาพุทธบอกว่าเรื่องของกรรม สิ่งที่เกิดมานี่เกิดจากสภาวะกรรมทั้งหมด มนุษย์เกิดขึ้นมามันมีเหตุมีผล เราสงสัยกันมากว่าคนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน เราสงสัยกันตลอดเลย แล้วทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ เพราะพวกหมอ มาจากศิริราชมาหา ว่าเขาเป็นผู้วิเคราะห์วิจัยสมอง เขาบอกเลยเขาเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องสมอง แล้วพยายามคิดว่าสมองมันคิดได้อย่างไร ถึงที่สุดแล้วเป็นทางตัน ถึงที่สุดแล้วไปถึงทางตันว่าสมองมันคิดได้อย่างไร เซลล์มันคิดได้อย่างไร ความคิดมันเกิดจากสภาวะได้อย่างไร ถึงสุดท้ายแล้วมาบวช บวชพิสูจน์กันว่าอยากเห็นจิตเห็นวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นความคิด จิตวิญญาณมีไหม พยายามนั่งสมาธิก็ไม่เห็น เพราะอะไร เพราะความอยากนั้นมันเป็นสิ่งที่เข้ามาเป็นนิวรณธรรม

เรามีความอยาก เรามีความต้องการ มันมีการเคลื่อนไหวอยู่ มันถึงจะสงบไม่ได้ แต่มีความอยากอยู่อยากในการกระทำกำหนดพุทโธ พุทโธ เราปล่อยความอยากไว้ หน้าที่ของเราคือกำหนดคำบริกรรมตลอด คือการทำงานของใจ ใจมันเกาะเกี่ยวกับพุทโธ พุทโธ หรือเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็เกาะอยู่อย่างนั้น เกาะนานไปๆ สิ่งนี้เป็นสมมติก่อน เป็นสมมติคือชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ใจบริกรรมไปเรื่อยๆ เพราะมันเกาะสิ่งนี้ มันไม่คิดฟุ้งซ่านไป

ความคิดของเราปุถุชน ความคิดของโลกมันคิดสืบต่อ คิดเรื่องนี้ คิดเรื่องต่อไป คิดต่อไป มันสืบต่ออย่างนี้ มันเคลื่อนไหวตลอด มันสงบไม่ได้หรอก ยิ่งคิดมากมันจะมีความฟุ้งซ่านมาก ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะมันจะควบคุมใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว ชั่วครั้งชั่วคราวนะมันควบคุมใจได้ ว่าเราควบคุมใจได้ เราเป็นคนมีสติดี แต่มันก็สงบไม่ได้

แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้มันปล่อยวางจากความคิดนั้น ให้เห็นการปล่อยวางมัน คือสติปัญญาตามความคิดนั้นไป มันปล่อยวางได้ กำหนดพุทโธก็เหมือนกัน ให้กำหนดพุทโธ พุทโธ จิตมันเกาะไป เหมือนกับกระแสน้ำที่มันเคลื่อนไป ความเคลื่อนไปของกระแสน้ำ ถ้าสายน้ำเต็ม เหมือนท่อน้ำ ถ้าน้ำนั้นมันมีฟองอากาศมีอะไรไป น้ำนั้นมันจะไปไม่สะดวก แต่ถ้าเราเปิดน้ำจนไล่น้ำจนน้ำนั้นเป็นน้ำที่เต็มท่อออกมา

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันกำหนดพุทโธ พุทโธ มันเกาะพุทโธจนเต็มที่ของมัน มันสงบของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เขามีความต้องการมาก เขาถึงไม่ได้สิ่งใดเลย เขาถึงได้มาปรึกษาว่าค้นคว้ามาทั้ง ๒ อย่างแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย บอกนี่เพราะว่าเราทำด้วยปัญญาสามัญสำนึก เราทำด้วยโลกียปัญญา ปัญญาของเราอย่างนี้ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะทันมันจะปล่อยวางสิ่งนี้เข้ามา ปล่อยวางเข้ามาเป็นสมถะ

ในเมื่อเป็นสมถะคือจิตมันสงบ พอจิตสงบเราก็ว่าสิ่งนี้เป็นผลงานของมัน แต่อันนี้มันเป็นสมถะ มันจะว่างนะ พิจารณาขนาดไหน เราพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องสิ่งที่ใจเกาะเกี่ยว คือมันเป็นภาระรุงรัง จิตมันไปแบกไปหาม เราไปคิดถึงสิ่งใดเราเข้าไปแบกหามสิ่งนั้นนะ นี่ภูเขาเลากาทั้งลูกเลย มันไม่ใหญ่โตหรอก มันธรรมชาติของมัน มันอยู่ของมันสภาวะของมัน แต่เราไปแบกหาม คำนวณไง น้ำหนักมันเท่าไร น้ำหนักของภูเขานี่เท่าไร เราไปคำนวณ เราไปยึดมัน เราไปยึดของมันเอง

จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดถึงสิ่งใด เราไปแบกหามสิ่งนั้นทั้งหมด แล้วสติเราเข้าไปทัน มันปล่อยวางสิ่งที่เป็นภาระรุงรังเข้ามา สิ่งนั้นเป็นความสงบเข้ามา มันจะมีความร่มเย็น มันจะมีความว่าง เย็นใจมาก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลาเขาใช้ปัญญาใคร่ครวญในสิ่งใดที่ใจมันเกาะเกี่ยวแล้วก็ปล่อยมา เย็นเป็นวันๆ นะ มีความเย็นมาก มาถามสิ่งนี้ว่าเป็นวิปัสสนาไหม

เราถามว่าใจออกไปเกาะเกี่ยวสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ภายนอกหรือภายในหัวใจ ถ้ามันเป็นภายนอกหัวใจ กิเลสมันอยู่ที่หัวใจ เราแก้กิเลสได้ไหม มันไปเกาะเกี่ยวสิ่งใด หรือมันไปรับสิ่งใด สงสัยในสิ่งใด แล้วเราใช้ปัญญาใคร่ครวญ มันปล่อยสิ่งนั้นมา เย็นวาบเพราะอะไร

เพราะจิตมันมีชีวิต จิตมันมีความรู้สึก เวลามันรับรู้สิ่งใด มันมีน้ำหนักสิ่งใด มันแบกหามสิ่งใด มันปล่อยสิ่งนั้นเข้ามา มันเป็นสมถะ สมถะทั้งหมดเลย เย็นขนาดไหนมันก็เป็นสมถะ แล้วทำอย่างนี้ ต้องพิจารณาอย่างนี้บ่อยครั้งเข้าๆ จนจิตมันตั้งมั่นนะ จนจิตมันมีมาตรฐานของมัน จนจิตมันมีพื้นฐานของมัน แล้วย้อนกลับเข้ามา ทวนกระแส นี่ตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหวังตรงนี้

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบสได้สมาบัติ ๘ สิ่งที่สงบ สิ่งที่เป็นฐานของจิตมันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่สิ่งนี้มันชำระกิเลสไม่ได้ ฤๅษีชีไพรก่อนสมัยพุทธกาลก็ทำอย่างนี้ได้ กาฬเทวิลสามารถย้อนอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ เห็นไหม อยู่ในพระไตรปิฎก ทำได้หมดเลย สิ่งนี้เป็นฌานโลกีย์ สิ่งนี้เป็นสมบัติของโลก สิ่งนี้เป็นโลกียสมบัติ สิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว

แต่ถ้าทวนกระแส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแส ปัญญาที่ทวนกระแสมันต้องใช้ให้สิ่งที่ว่าใช้ปัญญาโลกียปัญญาให้มันสงบเข้ามาก่อนแล้วย้อนกลับเข้ามา นี่กาลเวลาของเรามี มีอย่างนี้ ถ้าเราเลือกตรงนี้ จุดสตาร์ทของวิปัสสนาจะเกิดตรงนี้ เกิดตรงที่จิตมันเป็นพื้นฐาน มันว่างมันเย็นขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าคนเผลอไป คนเห็นสิ่งนั้นเป็นผลไป มันจะตามสภาวะสิ่งนั้นไป

นี่ความคิดของใจ ความคิดของใจเวลาแก้กิเลสไม่ได้แก้กิเลสจากปัญญาของสมอง สมองนี่มันเป็นการควบคุม มันเป็นศูนย์กลางประสาท เหมือนคอมพิวเตอร์ มันมีกดปุ่มอยู่ที่ไหน นี่ก็เหมือนกัน ศูนย์ควบคุมของมนุษย์แต่ละบุคคลอยู่ที่สมองของตัวเอง เส้นประสาท การเคลื่อนไหวทั้งหมด ถ้าเส้นเลือดในสมองแตกจะทำให้การเคลื่อนไหวของซีกร่างกายบางซีกเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็มีความสุขความทุกข์ของเขา แม้แต่สมองที่มันพิการแล้วก็จริงอยู่ แต่เขาก็ยังมีความรู้ของเขา เขาก็มีความต้องการของเขา

แต่เวลาจิตมันสงบเข้ามา เวลามันย้อนกลับเข้ามา ทวนกระแสเข้าไป เวลามันเกิดขึ้นมา มันอาศัยสมอง อาศัยสิ่งที่ว่าเกิดนี่เป็นสังขารเหมือนกัน สิ่งนี้คือการแสดงออก สิ่งที่มันการแสดงออกหมายถึงว่าสิ่งที่มันแสดงตัว สิ่งที่แสดงตัวอันนี้มันกระเพื่อม กระเพื่อมเฉยๆ แต่เวลาปัญญาภาวนามยปัญญามันเกิดจากใจ เกิดจากความเห็นของใจ มันไม่มีตัวตน ไม่มีฐานที่มันจะเคลื่อนออกไป ถ้ามีฐานเคลื่อนออกไป ตัวตนเกิดตรงนี้ไง มันถึงเป็นโลกียะ มันถึงเป็นเรื่องของโลก มันถึงได้ทำสิ่งใดก็ได้ มันถึงผูกมัดให้อยู่กับโลกนี้ตลอดไป

แต่ถ้าปัญญาย้อนกลับมาอย่างนี้ นี่คือเริ่มต้นของจุดสตาร์ทของวิปัสสนา วิปัสสนาต้องจิตให้สงบก่อน พอจิตสงบก่อนแล้วย้อนขึ้นไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม นี่ปัญญาอย่างนี้ปัญญาอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนานี้

จะบอกว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งนี้เป็นสมมติชั่วคราวๆ ภวาสวะคือภพของใจ ภพชาติของเรา เราจะหาภพชาติของเราที่ไหน เห็นไหม กษัตริย์คือตัวพญามาร กษัตริย์เจ้าวัฏจักร เจ้าวัฏจักรนะ กษัตริย์ในโลกนี้คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ท่านปกครองให้เราร่มเย็นนะ แต่ถ้าเราจะเข้าไปหากษัตริย์เจ้าวัฏจักร กษัตริย์ที่มันปกครองให้จิตนี้ สภาวะของภพชาติของเราที่หมุนเวียนไปอันนี้ นี่วิปัสสนามันเกิดมาอย่างนี้ไง

ถ้าวิปัสสนาเกิดมาอย่างนี้มันจะเข้าไปหาเจ้าวัฏจักร เข้าไปหากษัตริย์ เข้าไปหาเรือนยอดของใจ เข้าไปหาสิ่งจุดศูนย์กลางของการเกิดในวัฏฏะนี้ แล้วทำลายในวัฏฏะนี้ ชาติคือทำลายชาติทั้งหมด ตัวศาสนาคือตัวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ทำลายตัวเจ้าวัฏจักรคือทำลายตัวกษัตริย์ ตัวสิ่งที่เป็นเจ้าวัฏจักรในหัวใจนี้ ทำลายตรงนี้ นี้คือสิ่งที่เกิดในตัวตนของเรานะ ความดีอย่างนี้เป็นความดีอย่างละเอียดอ่อนมาก

ความดีของโลก ความดีเราทำคุณงามความดี เราสละทานนะ เวลาสละทาน สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ มนุษย์ก็ทำได้ ใครก็ทำได้ สิ่งที่ทำได้ เห็นไหม ดูสิ เวลาพ่อแม่เวลามีลูกมีเต้า เลี้ยงดูลูก นี่ก็เป็นการให้ทานนะ เป็นเรื่องของกรรมการเกิดมาเหมือนกัน แล้วสัตว์มันก็เลี้ยงลูกของมันได้ เวลาสัตว์มันมีลูกของมัน มันรักลูกของมันมากนะ มันถนอมรักษาลูกของมันเหมือนกันเลย มันก็มีความรู้สึกเหมือนกัน แต่สัตว์ในเมื่อมันเกิดมา อำนาจวาสนาของเขามีเท่านั้น เวลามันเกิดสภาวะแบบนั้น

เราเป็นมนุษย์ เราเกิดมา คุณงามความดีของโลก เราเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่ของคน คนที่จะเป็นพ่อแม่ของคนก็เป็นลูกมาก่อน ลูกก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ลูกเราก็จะเลี้ยงเราต่อไป แต่หัวใจถ้าเราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ด้วยธรรมนะ พยายามทำให้แม่มีบุญกุศลขึ้นมา แล้วถ้าเปิดตาของใจนะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)